วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ฝ้า คืออะไร

ฝ้าคืออะไร
โดย พญ. เจษฎี โกศลพันธ์


ฝ้าเป็นปัญหาทางผิวหนังที่พบได้บ่อย ถึงแม้ว่าจะไม่มีอันตรายต่อร่างกายแต่พบว่ามีผลต่อบุคลิกภาพและสุขภาพจิตอย่างมาก
ฝ้า คือ ปื้นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลเข้ม พบที่แก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปาก คาง นอกจากนี้อาจพบได้ที่คอ และแขนด้านนอก มักเป็น 2 ข้างเท่าๆกัน พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในระหว่างตั้งครรภ์ และในวัย 30-40 ปีขึ้นไป


ฝ้าเกิดจากอะไร
เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี ซึ่งอยู่ในชั้นหนังกำพร้า มีการสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น
แสงแดด เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นทำให้เกิดฝ้า และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ ฝ้าเข้มขึ้นอีกด้วย เชื่อว่าเกิดจากแสงอัลตราไวโอเลต A,B และ Visible Light จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00 - 15.00 น.
ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์หรือได้ยาคุมกำเนิดทำให้มีโอกาส เป็นฝ้าได้มาก นอกจากนี้ฮอร์โมนและสารเคมี บางอย่างในเครื่องสำอางค์รวมทั้งน้ำหอมก็มีส่วนทำให้เกิดฝ้าได้
พันธุกรรม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในผู้ที่เป็นฝ้าที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน
ยา เช่น ยากันชัก เป็นต้น

การรักษาที่ถูกต้อง ทำอย่างไร
หลีกเลี่ยงปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า ที่สำคัญคือ หลีกเลี่ยงแดดเท่าที่ทำได้ รวมทั้งหลีกเลี่ยง ฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดด้วย
ใช้ยากันแดด ที่มีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอตลอดไป เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าเข้มขึ้นอีก
ทายาให้ฝ้าจางลง เพื่อลดการทำงานของเซลล์สร้างสี และเร่งเซลล์ผิวหนังชั้นบนซึ่งมีเม็ดสี เมลานินที่สร้างขึ้นมาแล้วให้หลุดลอกออกไป ยาฝ้าในปัจจุบันมักประกอบด้วยสารหลายชนิดที่สำคัญคือ ไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ และสารสตีรอยด์ เป็นยาฝ้าที่มีประสิทธิภาพดี แต่อาจเกิดผลข้างเคียงจากการระคายเคืองได้ จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์
การรักษาฝ้าที่ถูกต้อง ต้องทายาให้สม่ำเสมอ และต่อเนื่องจนกว่าฝ้าจะจางลง โดยให้ทาในส่วนที่เป็นฝ้าก่อนนอนทุกคืน เมื่อรอยฝ้าจางหายไปแล้วให้ทาสัปดาหฺ์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าเกิดขึ้นอีก
นอกจากนี้ ยังมีการพํฒนาการรักษาฝ้าโดยการใช้สารเคมีอื่นๆ เช่น กรดโคลิก กรดอะเซติก เป็นต้น อย่างไรก็ตามผลยังไม่ดีนัก บางครั้งแพทย์อาจใช้ยาทาเพื่อลอกหน้าร่วมกับยาทาฝ้าและในบางกรณีอาจพิจรณาใช้แสงเลเซอร์ในการรักษาฝ้าด้วย
ฝ้าเป็นปัญหาที่พบบ่อย ใบหน้าที่เป็นฝ้าดูหมองคล้ำ จึงทำให้เป็นปัญหาที่สำคัญต่อบุคลิกภาพเป็นอย่างยิ่ง ความรู้ความเข้าใจ และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ทำให้การรักษาฝ้าที่ปลอดภัยและได้ผลอย่างแท้จริง และยังเป็นหนทางให้ผิวพรรณมีสุขภาพที่ดีตลอดไป
ที่มา : เอการจากโรงพยาบาล พญาไท 2

กวาวเครือขาว สมุนไพรไทยช่วยเลือดลมไหลเวียน เพิ่มความอึ๋ม


กวาวเครือขาว เป็นยาอายุวัฒนะสำหรับผู้สูงอายุใช้ได้ทั้งหญิงและชาย (คนหนุ่มสาวห้ามรับประทาน)ทำให้กระชุ่มกระชวยฃ

  • ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นกลับเต่งตึงมีน้ำมีนวล
  • ช่วยเสริมอก กระตุ้นเต้านมขยายตัว โดยเฉพาะกวาวเครือขาว
  • ช่วยให้เส้นผมที่หงอกกลับดำ และเพิ่มปริมาณเส้นผม

  • แก้โรคตาฟาง ต้อกระจก

  • ทำให้ความจำดี
  • ทำให้มีพลัง การเคลื่อนไหวการเดินเหินจะคล่องแคล่ว
  • ช่วยบำรุงโลหิต
  • ช่วยให้รับประทานอาหารมีรสชาติอร่อย

    งานวิจัยเกี่ยวกับ กวาวเครือ ส่วนใหญ่เน้นไปที่การศึกษาผลคล้ายฮอร์โมน estrogen ของสมุนไพรหรือสิ่งสกัดจากสมุนไพรชนิดนี้ ซึ่งผลการทดลองเกือบทั้งหมดเป็นการศึกษาในสัตว์ทดลอง ยังมีการศึกษาในมนุษย์น้อยมาก งานวิจัยในช่วงแรกๆมุ่งไปที่การศึกษาฤทธิ์ของสาร miroestrol ซึ่งพบว่าในสัตว์ทดลอง สารนี้มีฤทธิ์ประมาณ 2 ใน 3 ของ stilbestrolเมื่อทดลองให้หนูถีบจักรที่ยังไม่โตเต็มที่กินสารนี้เข้าไป และมีฤทธิ์ราว 70% ของสาร 17b-estradiol เมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูขาว แต่เมื่อให้โดยวิธีเดียวกันนี้กับหนูถีบจักร พบว่ามีฤทธิ์เป็น 2.2 เท่าของสาร estrone ผลการทดลองในสตรีที่ประจำเดือนไม่มาตามปกติ 10 คน โดยให้สารนี้ในขนาด 1 และ 5 มก. วันละ 6 ครั้ง พบว่าสารนี้แสดงฤทธิ์เป็น estrogen อย่างรุนแรง โดยแสดงผล 2-3 สัปดาห์หลังจากเริ่มให้สารนี้ และในบางกรณีสามารถทำให้ประจำเดือนมาหลังจากหยุดให้สาร 7-18 วัน อาการข้างเคียงที่พบส่วนใหญ่ ได้แก่ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน บางรายมีอาการทรวงอกขยายใหญ่ขึ้น และอาการจะเห็นได้ชัดเมื่อใช้ขนาดที่สูง
    ภายหลังมีการพบสารกลุ่ม isoflavones หลายตัวได้แก่ genistein, daidzein รวมทั้งglycosides ของสารนี้ในหัวกวาวเครือขาว ซึ่งสารเหล่านี้จัดได้ว่าเป็น phytoestrogensซึ่งแสดงฤทธิ์ในลักษณะของฮอร์โมนเพศหญิงได้เช่นกัน


วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

ขมิ้นชัน สมุนไพรต้านอนุมูลอิสระ


สมุนไพรสีเหลืองเข้มอันนี้มีประโยชน์กับผิวพรรณมาก จนเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ต่างๆนำมาเป็นส่วนผสมใช้เพื่อดูแลผิว หนึ่งในคุณสมบัติของขมิ้นชันคือช่วยเรื่องสิวได้ด้วย

ขมิ้นชันกับบทบาทในการต่อต้านการอักเสบและทำให้แผลหายเร็วขึ้น
ประโยชน์ของขมิ้นชันกับผิวนั้นไม่ได้แค่ต่อต้านหรือลดการอักเสบเท่านั้นแต่ยังช่วยให้สีผิวกระจ่างขึ้นด้วยเมื่อใช้เป็นประจำ ขมิ้นชันได้รับการยอมรับว่าช่วยลดการอักเสบและลดการระคายเคืองเมื่อนำมาใช้กับผิว อย่างที่รู้กันว่าสิวนั้นเกิดจากแบคทีเรีย P.acne ที่ทำให้เกิดการอักเสบหรือบวมแดงที่เราเห็น ซึ่งก็ได้มีการวิจัยว่าขมิ้นชันสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียตัวนี้ได้และสามารถผสมใช้ร่วมกับ Neem oil, Tea Tree oil เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ยังมีการวิจัยอื่นที่บอกอีกว่าขมิ้นชันช่วยปรับสภาพผิวเพื่อให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ทำให้ไม่แปลกใจเลยที่มีการผสมขมิ้นชันในเครื่องสำอางที่ขายตามท้องตลาดมากมาย
วิธีใช้
ผสมผงขมิ้นชันกับน้ำหรือน้ำมะนาวหรือถ้าอยากให้ข้นสามารถผสมกับน้ำมันต่างๆได้และแต้มที่สิวก่อนนอนโดยไม่ต้องล้างออก
ถ้าเห็นว่าบทความนี้ประโยชน์และนำไปใช้ในเวบหรือ blog ส่วนตัวกรุณาทำลิงค์มาที่เราด้วยนะครับ
Reference
- Ayush.com
- Acne-resource.org
แปลและเรียบเรียงโดย Acnethai.com

วิเคราะห์สุขภาพผิวหน้า


ใบหน้านับได้ว่าเป็นปราการด่านแรกที่ดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็น โดยเฉพาะผู้ที่มีแก้ม อมชมพู ขาว ใส บ่งบอกถึงสุขภาพภายในดี ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่มีสีหน้าซีดเซียวดำคล้ำ หรือมีสิว ฝ้า ที่นอกจากไม่ชวนมองแล้วยังสะท้อนถึงสุขภาพของบุคคลนั้นๆ ด้วย

สุปราณี จันทไพบูลย์ขจร ผู้จัดการฝ่ายอบรม บ. เดอร์มอล คอนแซปท์ จำกัด เล่าให้ฟังว่า การวิเคราะห์สภาพผิวหน้านั้น สามารถใช้ศาสตร์ได้ทั้งศาสตร์ตะวันตกและตะวันออกเป็นเครื่องมือในการอธิบาย ซึ่งแต่ละศาสตร์ต่างก็มีมุมมองในการวิเคราะห์แตกต่างกัน กล่าวคือศาสตร์ตะวันตกจะวิเคราะห์สิ่งที่สัมผัสรู้ เห็นได้ด้วยตา อย่างคนที่มีสิว ฝ้าขึ้น จะตั้งคำถามเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุ เช่น กินยาคุมหรือเปล่า แพ้ครีมที่ใช้อยู่ ล้างเครื่องสำอางออกไม่หมด ส่วนวัยรุ่นจะบอกว่าเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนฯลฯ

ขณะที่ศาสตร์ตะวันออกนั้น สังเกตจากสัมผัส ดูลักษณะของผิว หรือความร้อน ความเย็นของผิว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกเฉพาะ สิว ฝ้า ยังสะท้อนโรคภัยที่กำลังจะมาเยือนด้วย

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจและเปรียบเทียบ สุปราณีได้กำหนดแผนในการวิเคราะห์ออกเป็น 14 โซนด้วยกัน(ดูรูปภาพประกอบ) เริ่มต้นจาก โซนที่ 1 กับ 3 หากสภาพผิวบริเวณนี้มีสิวอุดตันและสิวเห่อขึ้นมาเมื่อเทียบกับส่วนอื่นบนใบหน้า ถ้าวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาผิวพรรณตามศาสตร์ตะวันตก เกิดจากล้างเครื่องสำอางไม่หมดโดยเฉพาะผู้ที่แต่งหน้าจัด หรือแพ้สารบางตัวในแชมพูสระผม เพราะฉะนั้นควรล้างเครื่องสำอางให้หมดจด หรือหากพบว่าแพ้ยาสระผม ให้เปลี่ยนไปใช้ยาสระผมยี่ห้ออื่นแทน เพียงเท่านี้ปัญหาสิวอุดตัน สิวเห่อ จะลดลง

ด้านศาสตร์จีนระบุว่า อาจเกิดจากปัญหาระบบการย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาสิวอุดตัน สิวเห่อ ต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แล้วดื่มน้ำเพิ่มขึ้น

ส่วนโซนที่ 2 อยู่บริเวณระหว่างคิ้ว ส่วนมากไม่ว่าหญิงหรือชายมักจะเกิดปัญหาการอุดตันของไขมัน มีอาการผืนแดง เป็นขุย วิเคราะห์ตามหลักตะวันตก เกิดจากร่างกายผลิตน้ำมันในผิวมากเกินไป หรือเกิดเพราะกระบวนการกำจัดขนไม่สะอาดจึงเกิดปัญหาโรคผิวหนัง แต่ตามศาสตร์ตะวันออกบอกว่า เป็นเพราะการทำงานของตับเริ่มมีปัญหา ซึ่งเกี่ยวกับอาหาร กินหวานจัด เค็มจัด อาหารมันๆ และเครื่องดื่ม โซนที่ 4 กับ 10 ให้ใช้มือสัมผัสบริเวณหลังใบหู มักพบว่าเกิดสิวอุดตัน และระหว่างที่จับหูให้สังเกตความร้อนของใบหูควบคู่ไปด้วย ถ้าใบหูร้อนกว่าปกติ ทางตำราจีน สันนิษฐานว่า ขณะนี้ไตต้องทำงานหนัก อาจมีผลให้เกิดไตเสื่อม เพราะฉะนั้นควร ลด ละ หรือเลิก เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีน เป็นต้น ถ้าวิเคราะห์ตามศาสตร์ตะวันตกก็จะบอกว่า เกิดจากแชมพูสระผม แนะให้เปลี่ยนยาสระผม หรือเลือกยาสระผมสำหรับเด็กมาใช้แทน มาถึง โซนที่ 5 กับ 9 หรือบริเวณโหนกแก้ม ผิวบริเวณนี้มักเกิดปัญหาเรื่องสิวข้าวสาร ฝ้า สีผิวไม่เสมอกัน และบางรายผิวบางมากจนเห็นเส้นเลือดฝอย ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่จะมีปัญหาบริเวณนี้เยอะมาก สาเหตุเกิดจากผิวได้รับแสงแดดมากเกินไป ประกอบกับไทยเป็นเมืองร้อน โดยเฉพาะผู้ที่แพ้แดดควรใช้ครีมกันแดด ในขณะที่ศาสตร์ตะวันออก ระบุว่า คนที่เป็นสิวข้าวสาร มีฝ้าขึ้นบริเวณโหนกแก้ม คนนั้นกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพปอด เหงือกและฟัน นอกจากนี้ จะเห็นชัดเจนสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่จัด เพื่อป้องกันไม่ให้สิวขึ้น ควรลดหรือเลิกสูบบุหรี่ ส่วน โซนที่ 6 กับ 8 อยู่บริเวณรอบดวงตา มีลักษณะผิวคล้ำ อันที่จริงผิวคล้ำใต้ตานั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ บางคนอดนอน ร่างกายขาดน้ำ หรือกรรมพันธุ์ เพราะฉะนั้นก่อนวิเคราะห์ตามศาสตร์ตะวันตกหรือตะวันออก ควรสำรวจพฤติกรรมบางอย่างร่วมด้วย เช่น นอนดึกรึเปล่า ดื่มน้ำวันละกี่แก้ว สมมติว่า นอนดึกหรือนอนวันหนึ่งเพียง 4- 5 ชั่วโมง ในเบื้องต้นให้ปรับพฤติกรรมการนอนใหม่ โดยนอนให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง อาจจะนอนเร็วขึ้น เพื่อให้ดวงตาได้มีโอกาสพักผ่อน ตรงนี้จะช่วยให้ลดปัญหาถุงใต้ตาคล้ำได้ ส่วนรายที่ปฏิบัติตามไม่ได้และจำเป็นต้องนอนดึก ให้ซื้อผลิตภัณฑ์มาเพื่อลดรอยหมองคล้ำ สำหรับศาสตร์ตะวันออก กลับระบุว่าผิวบริเวณรอบดวงตาหมองคล้ำ เกิดจากการทำงานของไต โรคภูมิแพ้ รวมถึงระบบขับถ่าย เพราะฉะนั้นใครที่มีปัญหาผิวคล้ำบริเวณรอบดวงตา ให้ดูแลเรื่องระบบขับถ่ายของเสียแล้วดื่มน้ำเยอะ ๆ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต

โซนที่ 7 บริเวณจมูกและเหนือริมฝีปาก จุดนี้จะมีปัญหาเรื่องสิวเสี้ยนมากที่สุด เพราะเป็นบริเวณที่ผลิตน้ำมันมากกว่าบริเวณอื่น นอกจากนั้น หากสังเกตพบว่าสีผิวไม่เรียบเสมอกันหรือมีฝ้าขึ้น เป็นสัญญาณบ่งชี้เรื่องสุขภาพโดยเฉพาะฮอร์โมน อย่างเช่นผู้ที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน วัยทอง กินยาคุม และอยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ส่วนศาสตร์จีน ระบุว่ากำลังมีปัญหาโรคหัวใจและอวัยวะสืบพันธุ์ โซนที่ 11 กับ 13 บริเวณส่วนคางด้านซ้ายและขวา ส่วนใหญ่มักจะเกิดปัญหาสิวหัวช้าง ทั้งนี้ ตามหลักทางการแพทย์ชี้ต้นเหตุเกิดจากการทำความสะอาดเครื่องสำอางไม่หมด หรือเกี่ยวข้องกับการสัมผัสบ่อย หมายถึงมือ ซึ่งไม่รู้ว่าก่อนที่จะมาจับหน้าจับสิ่งของใดมาบ้าง ส่งผลให้เกิดสิว ที่สำคัญคือ ยังพบด้วยว่าโทรศัพท์และโทรศัพท์มือถือเป็นต้นเหตุให้เกิดปัญหาข้างต้นด้วย เนื่องจากต้องแนบโทรศัพท์อยู่ระหว่างหูกับปาก ขณะที่ศาสตร์ตะวันออก ระบุว่า แนวโน้มมีปัญหาเรื่องรังไข่ โซนที่ 12 คางส่วนกลาง มักจะเกิดอาการอุดตันของสิว ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ที่มีผลพวงมาจากการรับประทานอาหารรสเผ็ดจัด หรือบางรายแพ้อาหารบางประเภท ส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่องระบบการย่อยอาหาร เพราะฉะนั้นควรเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัดแล้วมารับประทานอาหารจืดๆ แทน จะช่วยลดการทำงานของกระเพาะอาหารด้วย และสุดท้าย โซนที่ 14 บริเวณลำคอและหน้าอก มักจะมีปัญหาเรื่องสีผิวไม่เรียบ ริ้วรอย มีความไวต่อการระคายเคือง ทั้งนี้เกิดจากการใช้น้ำหอมแล้วมีอาการแพ้ หรือบางรายเกิดเพราะฮอร์โมนอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยทอง จะเกิดอาการร้อนวูบวาบ ขณะที่ศาสตร์จีนระบุว่า เกิดจากอาการเครียด โดยสังเกตจากการปะทุของสิว ดังนั้น ควรหาเวลาพักผ่อน อย่าเคร่งเครียดกับงานที่ทำหรือสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกมีอาการเครียด